ในยุคทองของภาพยนตร์เงียบ (Silent Era) ซึ่งครอบคลุมช่วงปี ค.ศ. 1895 ถึง 1927 นั้น เป็นช่วงเวลาที่การเล่าเรื่องผ่านภาพและดนตรีเท่านั้นได้รับความนิยมอย่างกว้างขวาง ผู้กำกับภาพยนตร์ และนักแสดง ต้องอาศัยทักษะในการแสดงออกทางสีหน้า ท่าทาง และการเคลื่อนไหว เพื่อสื่อสารอารมณ์และความรู้สึกของตัวละครให้แก่ผู้ชม
แม้ว่าจะไม่มีเสียงบรรยาย แต่ภาพยนตร์เงียบก็สามารถสร้างความประทับใจให้แก่ผู้ชมได้อย่างลึกซึ้ง ในยุคสมัยนั้น ภาพยนตร์เงียบมีหลากหลายแนว ไม่ว่าจะเป็นละคร โรแมนติก แอ็คชั่น หรือแม้กระทั่งภาพยนตร์ตลก
จากจำนวนภาพยนตร์เงียบที่ผลิตออกมาเป็นจำนวนมาก มีอยู่หนึ่งเรื่องที่โดดเด่นและได้รับการยกย่องมาจนถึงปัจจุบัน นั่นก็คือ “The Great Train Robbery” (1903) ซึ่งกำกับโดย Edwin S. Porter
บทบาทของนวัตกรรมใน The Great Train Robbery
ภาพยนตร์เรื่องนี้ ถือเป็นผลงานที่ก้าวหน้าอย่างมากจากภาพยนตร์เงียบยุคแรกๆ Porter ได้นำเทคนิคการตัดต่อ (editing) และการถ่ายทำภาพยนตร์แบบ Open Frame เข้ามาใช้ ทำให้ภาพยนตร์เรื่องนี้มีพล็อตที่ซับซ้อนและน่าติดตามกว่าภาพยนตร์เงียบทั่วไป
ในขณะที่ภาพยนตร์เงียบยุคแรกๆ มักจะถูกถ่ายทำเป็นฉากเดียว (one-shot) “The Great Train Robbery” นำเสนอเรื่องราวผ่านการตัดต่อหลายๆ ฉาก ซึ่งทำให้ผู้ชมสามารถติดตามเรื่องราวได้อย่างชัดเจน
การถ่ายทำแบบ Open Frame ซึ่งอนุญาตให้กล้องเคลื่อนไหวไปมา ทำให้ภาพยนตร์มีมิติและความสมจริงมากขึ้น
พล็อตเรื่อง: การปล้นรถไฟที่น่าตื่นเต้น
“The Great Train Robbery” เล่าเรื่องราวของแก๊งโจรที่วางแผนปล้นรถไฟขบวนหนึ่ง ภาพยนตร์เริ่มต้นด้วยการแสดงให้เห็นถึงการเตรียมตัวของแก๊งโจร ซึ่งรวมถึงการสำรวจเส้นทางรถไฟ การวางแผน และการซุ่มเฝ้า
เมื่อแก๊งโจรสามารถขึ้นรถไฟได้แล้ว พวกเขาก็ขู่กรรโชกผู้โดยสารและพนักงานบนรถไฟ เหตุการณ์ที่ตื่นเต้นเกิดขึ้นเมื่อตำรวจมาถึง และมีการยิงปะทะกันระหว่างโจรกับตำรวจ
ภาพยนตร์จบลงด้วยฉากโจรวิ่งหนีไปอย่างรวดเร็ว
ความสำเร็จของ The Great Train Robbery
“The Great Train Robbery” ประสบความสำเร็จอย่างท่วมท้นทั้งในด้านรายได้และการวิพากษ์วิจารณ์ ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้รับการยกย่องจากนักวิจารณ์ว่าเป็นหนึ่งในภาพยนตร์เงียบที่ดีที่สุดตลอดกาล
ความสำเร็จของ “The Great Train Robbery” มาจากหลายปัจจัย
-
พล็อตที่น่าติดตาม: เรื่องราวเกี่ยวกับการปล้นรถไฟ เป็นเรื่องที่น่าสนใจและเร้าใจสำหรับผู้ชมในยุคนั้น
-
เทคนิคการถ่ายทำที่ทันสมัย: การตัดต่อ (editing) และการถ่ายทำแบบ Open Frame ทำให้ภาพยนตร์มีมิติและความสมจริงมากขึ้น
-
ดนตรีประกอบ: ดนตรีประกอบเป็นองค์ประกอบสำคัญของภาพยนตร์เงียบ ดนตรีช่วยสร้างอารมณ์และบรรยากาศให้กับภาพยนตร์ได้อย่างดีเยี่ยม
ตารางเปรียบเทียบ The Great Train Robbery กับภาพยนตร์เงียบอื่นๆ ในยุคเดียวกัน:
ภาพยนตร์ | ปีที่ออกฉาย | กำกับโดย | ความยาว (นาที) |
---|---|---|---|
The Great Train Robbery | 1903 | Edwin S. Porter | 10 |
A Trip to the Moon | 1902 | Georges Méliès | 14 |
The Execution of Mary Stuart | 1895 | Alfred Clark | 2 |
มรดกของ The Great Train Robbery
“The Great Train Robbery” มีอิทธิพลอย่างมากต่อวงการภาพยนตร์ ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นหนึ่งในภาพยนตร์เงียบที่สร้างความตื่นเต้นและประทับใจให้แก่ผู้ชมได้อย่างดีเยี่ยม
เทคนิคการถ่ายทำและการเล่าเรื่องของ Porter ได้ถูกนำมาใช้ในภาพยนตร์ที่ตามมา และ “The Great Train Robbery” ยังคงได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในภาพยนตร์ที่ดีที่สุดตลอดกาล.